ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ลำปาง

              
                                        น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน



                      จังหวัดลำปาง มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ ที่ทุกคนอยากไปสัมผัส คือ “น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง และยังประกอบด้วยธรรมชาติป่าเขา สายน้ำตกอื่นๆ อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ด้วย จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของจังหวัดลำปางครับ 

  



    จุดเด่นก็คือมีบ่อน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาข้างๆสายน้ำตกที่ไหลเย็น และยังมีจุดที่สายน้ำเย็นจากน้ำตกไหลมารวมกับสายน้ำจากน้ำพุร้อน ถ้าไปเล่นน้ำตรงจุดนี้ช่วงหน้าหนาวจะรู้สึกสบายมาก อีกทั้งยังมีน้ำตกให้ชมถึง 7 ชั้นตามระดับ
     เป็นน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ประกอบด้วยบ่อเล็กบ่อน้อยถึง 9 บ่อ อยู่ในพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีอุณหภูมิ โดยเฉลี่ยประมาณ 73 องศาเซียลเซียส  ซื่งใครที่ชอบอาบน้ำร้อน นอนแช่น้ำแร่ ก็ไม่ผิดหวัง  เพราะที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน นั้นประกอบด้วยธรรมชาติที่ทำให้ทุกคนมีความสุข ผ่อนคลายความตึงเครียด มีลมหายใจธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกแจ้ซ้อนที่สวยงาม บ่อน้ำร้อนที่สวยงามในยามเช้า และเราก็จะพบความมหัศจรรย์ของบ่อน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 73 องศาเซลเซียส





การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จะเป็นเส้นทางที่สะดวกสบาย เป็นทางราดยางที่รถทุกชนิดเข้าไปถึง ปัญหาอุปสรรคการเดินทางก็ไม่มีอะไรมากนัก ยกเว้นว่าเราจะเลือกเส้นทางวิ่งจากแจ้ซ้อนไปออกเชียงใหม่ที่ต้องใช้เส้นทางลูกรังขึ้นเขาจะข้ามดอยที่สูงชัน จนไปออกถนนสายดอยสะเก็ด-แม่ขะจาน เส้นทางสายนี้เหมาะสำหรับรถปิ๊กอัพหรือรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เราสามารถลัดไปเชียงใหม่ได้ใกล้กว่ากัน


ทางอุทยานฯ ได้จัดห้องอาบน้ำแร่ไว้ในมุมที่เป็นธรรมชาติ มีความกลมกลืนกับพื้นที่ มีทั้งห้องแช่ส่วนตัว กับห้องตักอาบ โดยเฉพาะห้องแช่ส่วนตัวนั้นมีการออกแบบได้มาตรฐานของห้องอาบน้ำแร่ทั่วไป มีท่อน้ำเย็นสำหรับนำมาผสมกับน้ำร้อน เพื่อให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
  มีข้อระเบียบข้อระวังการอาบน้ำแร่ด้วย เพราะการอาบหรือแช่นานเกินไปก็มีผลต่อสุขภาพด้วย อาจเป็นลมหน้ามืดได้


อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกจัดวางระบบไว้เป็นอย่างดี มีบ้านพัก มีลานตั้งแค้มป์ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีร้านอาหาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้หลายอย่าง จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ทีเดียวข้อมูลการเดินทาง  จากตัวเมืองลำปางไปประมาณ 75 กม. โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1035 ลำปาง-แจ้ห่ม เป็นระยะทาง 58 กม. จากนั้นต่อด้วยเส้นทาง ร.พ.ช. อีก 17 กม. ก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ



คำชะโนด อุดรธานี

                                                          คำชโนด


คำชโนด
นาครากับเรื่องเล่าในสถานที่อันลึกลับ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี หรือช่วงออกพรรษา ประชาชนจากในพื้นที่หรือทั่วทั้งประเทศไทย ไม่มากก็น้อยต่างมุ่งหน้าสู่ จ.หนองคาย ดินแดนที่สร้างความตื่นตาตื่นใจจากตำนานเรื่องเล่าแต่โบราณ จนกลายเป็นสิ่ที่ผู้คนให้สนใจและต้องการไขความลับปริศนาเกี่ยวกับ พญานาคพ่นไฟ ต้องเดินทางมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่จะเดินทางสู่ จ.หนองคายผมจะพาทุกท่านตามรอยพญานาค ที่มาของตำนานเรื่องเล่า ความลี้ลับและความเชื่อ
คำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาคาอาศัยอยู่ ชึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ เป็นที่น่าแปลกที่มีป่าขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด อยู่กลางทุ่งนา ก่อนที่จะเข้าไปชมในบริเวณป่าคำชะโนด ผมได้รับข้อมูลจาก ท่านกำนันของหมู่บ้าน ว่าด้วยเรื่องที่มาและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค กำนันเล่าให้ฟังว่า

“สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อาศัยอยู่และเป็นสถานที่สู่เมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อ” อีกทั้งบริเวณรอบศาลาเคยมีร่องรอยคล้ายๆรอยพญานาคอยู่ด้วย ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อว่านั้นคือร่องรอยพญานาค แต่ที่ทำให้ผมหูผึ่งและขนลุก กลับเป็นเรื่องเล่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้

เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังเร่ ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท มีหนังฉาย 3-4 เรื่อง แต่มีข้อตกลงกันว่า ให้ฉาย 3 ทุ่มถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งทางเจ้าของหนังแร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง

ทางเจ้าของก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามวันและเวลาที่ได้นัดหมายหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้หมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงหรือแสดงความรู้สึก เหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป ฉายหนังบู๊ ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉยคนเราอย่างน้อยถึงเป็นคนจริงจังยังไงผมว่าต้องแสดงออกมาบ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้กลับอยู่ในอาการที่สงบ

แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือปกติเวลามีการฉายหนังกลางแปลงในต่างจังหวัด ก็เหมือนกับมีงานเทศกาลสร้างความคลึกคลื้นให้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันมาเปิดเพื่อซื้อขายกันมากมาย งานนี้ กลับไม่มีเลย บรรยากาศโดยรอบดูเย็นยะเยือกไปหมด

พอถึงตี 4 มีคนมาบอกว่าให้เก็บข้าวของไปได้แล้ว อีกทั้งยังสั่งว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ห้ามเหลียวหลังกลับมาดูเด็ดขาด พอทางเจ้าหน้าที่เก็บของและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางออกจากที่ทำการฉายหนัง แต่ก็เอะใจในคำสั่ง เลยหันกลับไปดู เท่านั้นแหละพี่น้องครับพวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาต่างฉงนสงสัย

อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อของที่ร้านค้า ชาวบ้านเลยถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เจ้าหน้าที่ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย แม้กระทั่งเสียงยังไม่ได้ยิน

เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืน ไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เองก็เลยเชื่อว่า”ถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า

”ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่า ดงคำชะโนดเป็นที่อาศัยของพญานาคและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าไป มีข้อห้ามเช่น ห้ามใส่รองเท้า หมวก แว่นตา และร่ม วันที่ผมเดินทางไปนั้นปรากฎว่าฝนตก นึกว่างานนี้เจอข้อห้ามอย่างนี้คงได้ ไข้หวัดกลับไปเป็นที่ระลึกแน่ แต่ยังดีที่สามารถใส่เสื้อฝนได้

ทางเข้ามีรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร อยู่ช้ายขวาลำตัวยาวเข้าไปในป่าดง คำชะโนด ชึ่งคล้ายสะพานที่ทอดยาวผ่านท้องนาสู่ป่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ลึกลับซ่อนแร้นน่าพิศวง ผมเดินสู่ดงคำชะโนด ด้วยความตรวจตราอย่างพินิจพิเคราะห์ ส่วนใหญ่พืชที่ขึ้นเป็น ต้นชะโนด ลักษณะคล้ายต้นหมาก ปาล์ม ต้นตาลและมะพร้าวมารวมกัน

เดินไปประมาณ 200-300 เมตร ก็จะพบศาล ที่มีผู้คนมาสักการะบูชา บริเวณใกล้มีฆ้องไว้ให้คนที่มาลูบ เชื่อว่าใครที่ลูบจนเกิดเสียงคนนั้นจะโชคดี ไม่ไกลกันนักเป็นบ่อน้ำที่เชื่อกันว่าเป็นเส้นทางที่จะไปสู่เมืองบาดาล ใครที่มีโอกาสได้มาอย่าลืมดื่มน้ำหรือเอามาพรม เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หายจากโรคภัยและเสริมมงคลให้กับตัวเอง งานนี้ผมพลาดไม่ได้ที่จะปฎิบัติตาม เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจครับ ผมเดินกลับออกมาโดยที่ไม่กลับไปเหลียวหลังเพราะว่าบางที อาจจะไม่เห็น ดงป่าคำชะโนดนี้ก็เป็นได้

ความเชื่อหรือตำนานเรื่องเล่าเป็นความเชื่อแล้วแต่บุคคล แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามองเห็นที่มาความเป็นไปและนึกภาพย้อนตามได้อย่างมีอรรถรส อีกทั้งการเดินทางมา คำชะโนด ครั้งนี้ก็ถือว่าได้มาพบสถานที่ใหม่และผู้คน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้คาใจว่า “เราเคยเดินทางสู่คำชะโนด เมืองวังบาดาลของพญานาคาหรือยัง”




                                                     ชม VDO คำชะโนดจาก Youtube